“ภูมิธรรม”แบ่งงาน "รมช.เฮ้ง" คุมงานตปท. 3 พรรค ร่วมงานไม่ขัดแย้ง

Wed, 8 May 2024 17:57:20

วันนี้ (8 พ.ค.2567) นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้หารือเรื่องการแบ่งงานกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์แล้ว โดยหน่วยงานที่ตนยังคงรับผิดชอบ คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา และสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือจีไอที

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์

ส่วนนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์คนใหม่ จะรับผิดชอบกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือไอทีดี

นายนภินทร กล่าวอีกว่า กระทรวงพาณิชย์ เป็นกระทรวงเดียวที่มีรัฐมนตรีจาก 3 พรรคการเมือง ทั้งเพื่อไทย ภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ แม้จะมาจากต่างพรรคการเมือง แต่การทำงานจะเป็นหนึ่งเดียวกัน

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ และ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ จับมือร่วมงานกัน

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ และ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ จับมือร่วมงานกัน

ผมกับท่านสุชาติ รู้จักคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี สามารถทำงานประสานกันได้ จะช่วยกันทำให้กระทรวงพาณิชย์เดินไปข้างหน้า และร่วมกันทำงานให้กับบ้านเมือง

ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า พร้อมจะทำงานสนองนโยบายรัฐบาล สนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม โดยได้พูดคุยกันแล้วว่าทุกกรมทำงานร่วมกันหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน

ไม่มองเรื่องพรรคการเมือง แต่จะมองเรื่องการดูแลปากท้องประชาชน ดูแลให้ผู้ประกอบการไทยออกไปในต่างประเทศได้ เชื่อว่าเศรษฐกิจของชาติจะดีได้ กระทรวงพาณิชย์จะต้องเป็นหลัก

โดยในวันพรุ่งนี้ (9 พ.ค.2567) นายสุชาติจะเดินทางเข้ามาสักการะสิ่งศักดิ์ที่กระทรวงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในเวลา 06.30 น. หลังจากนั้นอาจจะเดินสายมอบนโยบายให้กับหน่วยงานที่ดูแลและพบปะสื่อมวลชนประจำกระทรวงพาณิชย์

อ่านข่าว:

เอกชน ค้านขึ้น “ค่าแรง 400 บาท” ชี้เสี่ยง GDP โตไม่ถึง 3%

แกะรอย มหกรรมโชว์กินข้าว 10 ปี กินได้จริงหรือ? ฤาหาทางลง

"เครดิตบูโร" เผย Q1 หนี้เสียพุ่ง 6.4 หมื่นล้าน Gen X-Y จ่อหนี้ท่วม


พาณิชย์ ใช้เวที JTC ถก FTA คู่ค้า ปักหมุด EFTA EU -เกาหลีใต้

Wed, 8 May 2024 17:11:29

วันนี้ ( 8 พ.ค.2567) นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า เพื่อเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ๆ รวมทั้งผลักดันการใช้ประโยชน์ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย SMEs โดยเฉพาะรายเล็ก ให้สามารถปรับตัวและเตรียมความพร้อมในการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับกฎกติกาใหม่ของโลกพร้อมทั้งนำผลของการเจรจาไปสื่อสารทำความเข้าใจกับกลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพการส่งออกสินค้าไทยในตลาดโลก

นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

กรมได้เร่งรัดการเจรจา FTA กับคู่ค้าสำคัญให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน ตลอดจนเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ ครอบคลุม 80% ของการค้าไทยกับโลก ภายในปี 2570

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมี FTA 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ และล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2567 ไทยได้ร่วมลงนาม FTA กับศรีลังกา ซึ่งนับเป็น FTA ฉบับที่ 15 ของไทย และยังได้ผลักดันการเจรจาจัดทำ FTA ฉบับใหม่ ได้แก่ ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) และไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และการอัปเกรด FTA ที่มีอยู่เดิม ในกรอบอาเซียนกับคู่เจรจา ได้แก่ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน ให้กับผู้ประกอบการไทย

อธิบดีกรมเจรจาการค้า กล่วอีกว่า กรมยังได้เปิดเจรจา FTA กับตลาดใหม่ๆ เช่น เกาหลีใต้ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2567 ไทยและเกาหลีใต้ ได้ร่วมลงนามเอกสารขอบเขต (TOR) สำหรับการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (EPA) ไทย-สาธารณรัฐเกาหลี ถือเป็นการนับหนึ่งในการเริ่มต้นการเจรจา FTA ระหว่างกัน

รวมทั้งได้ร่วมลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงที่จะเริ่มเจรจาจัดทำ FTA ไทย - บังกลาเทศ เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2567 เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และสร้างแต้มต่อให้ภาคเอกชนไทยเข้าสู่ตลาดบังกลาเทศและเอเชียใต้

สำหรับการทำงานในช่วงครึ่งปีหลัง กรมมีแผนเข้าร่วมการประชุมสำคัญ เช่น การประชุมหารือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ณ กรุงเทพฯ การประชุมคณะกรรมการเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA-TNC) ครั้งที่ 10 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม การประชุมเจรจาจัดทำ FTA ไทย - EU รอบที่ 3 ที่ประเทศเบลเยียม

การประชุมเจรจาจัดทำ FTA ไทย - EFTA รอบที่ 10 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม FTA อาเซียน - แคนาดา ครั้งที่ 8 ณ กรุงเทพฯ การประชุมเจรจายกระดับ FTA อาเซียน - จีน (ACFTA) รอบที่ 9 ณ กรุงเทพฯ และการประชุมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย - เกาหลี ครั้งที่ 1 ณ กรุงเทพฯ

“กรมยังมีแผนใช้เวทีการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระดับรัฐมนตรี กับประเทศคู่ค้าสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า และกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยในปีนี้ มีแผนจะประชุม JTC กับประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ ภูฏาน มาเลเซีย สหราชอาณาจักร และจีน”

อ่านข่าว:

เอกชน ค้านขึ้น “ค่าแรง 400 บาท” ชี้เสี่ยง GDP โตไม่ถึง 3%

ช่วยลูกหนี้ NPLs สินเชื่อโควิด-19 "ออมสิน" ยกหนี้เพิ่ม 9 หมื่นคน

ราคาทองคำ วันนี้ ปรับบวก 100 บาท "รูปพรรณ" ขาย 41,000 บาท


เอกชน ค้านขึ้น “ค่าแรง 400 บาท” ชี้เสี่ยง GDP โตไม่ถึง 3%

Wed, 8 May 2024 15:56:09

วันนี้ (8 พ.ค.2567) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับผู้ประกอบการ กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วประเทศ มีความเห็นร่วมกันว่า เอกชนไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาท

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)

โดยกกร. มีความเห็นต่อประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาท ว่าการปรับอัตราค่าจ้างที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง จะเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย

เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังมีปัญหาจากปัจจัยหลายประการที่มีความผันผวน อาทิ ค่าเงินบาท ราคาพลังงาน มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ และสงครามการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในประเทศไทย

โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมีนาคม 2567 หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 และอัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) อยู่ที่ 62.39% ซึ่งลดลง 4.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรมไทยในที่ประชุมจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลดังนี้

“กกร. เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี และไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ แต่ควรใช้กลไก จากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เป็นผู้พิจารณาให้สอดคล้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ อัตราเงินเฟ้อ อัตราการเจริญ เติบโตของ GDP ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และประสิทธิภาพของแรงงาน”

ทั้งนี้กกร.เปิด 5 ข้อเสนอ ประเด็นค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศ ในที่ประชุมจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลดังนี้

1.กกร. เห็นด้วยกับการยกระดับรายได้ของแรงงานไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี ควรปรับตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541

2.กกร. ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ แต่ควรใช้กลไกจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เป็นผู้พิจารณาให้สอดคล้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ อัตราเงินเฟ้อ อัตราการเจริญเติบโตของ GDP ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง และประสิทธิภาพของแรงงาน

3.การปรับอัตราจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน (Pay By Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเพียงอัตราค่าจ้างของแรงงานแรกเข้าที่ยังไม่มีฝีมือ

นายพจน์  อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมมาตรการทางภาษี ลดอุปสรรคต่อการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการและแรงงานให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity)

4.การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรให้มีการรับฟัง ความคิดเห็น และศึกษาถึงความพร้อมของแต่ละพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ รวมทั้งควรให้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และใช้กลไกจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จังหวัดเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่หรือประเภทธุรกิจเช่นกัน

5.นอกเหนือจากการยกระดับรายได้ของแรงงานแล้ว ภาครัฐควรเข้ามาดูแลค่าครองชีพในการดำรงชีพของแรงงาน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ภาคแรงงานและประชาชน เช่น ราคาอาหารสำเร็จรูป และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึง ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างความสมดุลด้านรายได้และค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพให้กับแรงงานให้สอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า กกร. จะมีการทำหนังสือถึงกระทรวงแรงงาน เพื่อขอคัดค้านการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ 13 พ.ค. และหารือถึงแนวทางการปรับขึ้นค่าแรงให้เหมาะสมกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

ประชุมกกร. 3 สถาบัน

ประชุมกกร. 3 สถาบัน

พร้อมกันนี้จะมีการหารือกับภาคเอกชนในแต่ละจังหวัดถึงผลกระทบและจัดทำข้อเสนอต่อการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายจังหวัด โดยจะยึดกลไกการพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เป็นสำคัญ

นอกจากนี้ กกร.ยังมีการปรับลดคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2567 เหลือ ขยายตัว 2.2-2.7% จากเดิมคาดขยายตัว 2.8-3.3% เนื่องจากภาคการส่งออกมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้เพียง 0.5-1.5% ต่ำกว่าประมาณการเดิมเช่นกันตามทิศทางการค้าโลก

ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การปรับค่าแรง 400 บาท รัฐบาลไม่หนักใจ เพราะจะต้องดูแลในเรื่องของปากท้องประชาชน ตอนอยู่กระทรวงแรงงานก็ดูในเรื่องของความมั่นคงและความเป็นอยู่ของแรงงาน โดยการปรับค่าแรง 400 บาทถือเป็นนโยบายของรัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องปรับเข้าหากัน แต่เชื่อทั้งนายกและรองนายกและรมว.พาณิชย์จะมีวิธีการดูแลในเรื่องของค่าครองชีพประชาชนอยู่แล้ว

หากกลัวค่าครองชีพสูงขึ้น เราก็มีหน่วยงานดูแลอยู่แล้ว และในส่วนของภาคเอกชนเชื่อว่าหากค่าแรงขึ้นทำให้เราสามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้ ค่าครองชีพเราก็จะต้องมีการดูแล

"ไทยพีบีเอสออนไลน์" สอบถามไปยังผู้ประการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการภายในสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวว่า บริษัทเป็นบิษัทเล็กๆมี พนักงานประมาณ 10-20 คน ที่คอยให้บริการด้านข้อมูลภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งบริษัทจะจ่ายเงินเป็นรายเดือนให้กับพนักงาน เฉลี่ยเดือนละ 18,000 บาท และมีสวัสดิการด้านอื่นๆ เช่นประกันสังคม โบนัส และการปรับขึ้นเงินเดือนประจำปีอยู่แล้ว ซึ่งการปรับค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศของรัฐบาล มองว่าไม่กระทบกับบริษัท เพราะฐานเงินเดือนที่ให้กับพนักงานถือว่าสูงอยู่แล่ว

ด้านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย กล่าวว่า ได้ค่าแรงเป็นวัน เฉลี่ยนวันละ 490-544 บาท ซึ่งเกินกว่าค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลกำหนด ดังนั้นไม่ส่งผลกระทบหรือได้รับอานิสงส์ตรงนี้ แต่อยากให้รัฐบาลดูแลเรื่องปากท้อง ค่าครองชีพทีนับวันจะพุ่งสูงจนเกินรายได้จะดีกว่า

 อ่านข่าว:

ช่วยลูกหนี้ NPLs สินเชื่อโควิด-19 "ออมสิน" ยกหนี้เพิ่ม 9 หมื่นคน

ราคาทองคำ วันนี้ ปรับบวก 100 บาท "รูปพรรณ" ขาย 41,000 บาท

"เครดิตบูโร" เผย Q1 หนี้เสียพุ่ง 6.4 หมื่นล้าน Gen X-Y จ่อหนี้ท่วม


ช่วยลูกหนี้ NPLs สินเชื่อโควิด-19 "ออมสิน" ยกหนี้เพิ่ม 9 หมื่นคน

Wed, 8 May 2024 12:17:00

วันนี้ (8 พ.ค.2567) นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ออมสินให้ช่วยเหลือลูกหนี้โครงการสินเชื่อ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) กลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงทำให้ยังไม่สามารถฟื้นตัวและผ่อนชำระหนี้ได้ไหว จนกลายสถานะเป็นหนี้เสีย หรือ NPLs ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้เร่งช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวให้หลุดพ้นสถานะ NPLs เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ลูกหนี้เสียประวัติเครดิต และยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบได้อีกในอนาคต

โดยให้ธนาคารนำงบประมาณชดเชยค่าเสียหายจากหนี้เสียที่รัฐบาลจัดสรรให้สำหรับโครงการสินเชื่อดังกล่าว มาใช้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 ล่าสุดธนาคารได้ดำเนินการเพิ่มเติมอีกกว่า 90,000 คน ทำให้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้แล้วเป็นจำนวนกว่า 720,000 คน ในระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่เริ่มมาตรการ

ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 4/2567 จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้เพิ่มอีกจำนวนกว่า 100,000 คน เมื่อได้รับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากรัฐบาล

สำหรับ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สถานะ NPLs ของโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ดำเนินการเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เสียวินัยทางการเงิน โดยรัฐบาลมีนโยบายผลักดันการแก้ปัญหาหนี้ประชาชน

นายประสิชฌ์ วีระศิลป์ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank ประกาศจัด มหกรรมปูพรมแก้หนี้เพื่อเอสเอ็มอีไทย จัดครอบคลุมทั่วประเทศ ชูแก้ครบจบทุกปัญหา

ไฮไลท์มอบสิทธิพิเศษ 3 ลด ปลดหนี้  คือ ได้แก่ ลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัด เหลือในระดับไม่เกิน MLR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 7.50% ต่อปี) ,ลดค่างวด เหลือชำระตามความสามารถเท่าที่ผ่อนไหว และ ลดดอกเบี้ยค้างชำระ เมื่อชำระตามเงื่อนไขของธนาคาร หรือปิดบัญชี ลดดอกเบี้ยค้างให้ทั้งหมด 100% เพื่อช่วยผ่อนภาระ สร้างโอกาสพลิกฟื้นธุรกิจ ประเดิม จ.เพชรบุรี 13-14 พ.ค. นี้

มหกรรมปูพรมแก้หนี้ฯ จะจัดต่อเนื่องตลอด 4 เดือน ระหว่างเดือนพ.ค.-ส.ค. 2567 รวม 28 ครั้งทั่วประเทศ ตั้งเป้าช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้กว่า 10,000 ราย

อ่านข่าว:

"เครดิตบูโร" เผย Q1 หนี้เสียพุ่ง 6.4 หมื่นล้าน Gen X-Y จ่อหนี้ท่วม

ราคาทองคำ วันนี้ ปรับบวก 100 บาท "รูปพรรณ" ขาย 41,000 บาท

แกะรอย มหกรรมโชว์กินข้าว 10 ปี กินได้จริงหรือ? ฤาหาทางลง


ราคาทองคำ วันนี้ ปรับบวก 100 บาท "รูปพรรณ" ขาย 41,000 บาท

Wed, 8 May 2024 11:33:26

วันนี้ ( 8 พ.ค.2567 ) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" รายงานสถานการณ์ราคาทองคำที่ปรับตัวลดลง จากแรงกดดันเงินดอลลาร์แข็งค่า และสัญญาณการตรึงดอกเบี้ยสูงนานขึ้น หลังจากประธานเฟดสาขามินนีแอโพลิสชึ้เฟดอาจจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงต่อไปในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนกองทุน SPDR ขายทองคำ 1.72 ตัน

วิเคราะห์ราคาทอง ยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ และยังเคลื่อนไหวใต้เส้น SMA20 ซึ่งคาดว่า ราคาทองคำจะยังเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด โดยมีแนวต้าน 2,330-2,335 ดอลลาร์ และมีแนวรับ 2,300 ดอลลาร์ และ 2,290 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลกแนวรับ 2,300 และ 2,290 ดอลลาร์ แนวต้าน 2,330 และ 2,335 ดอลลาร์ คาดราคาทองคำปรับตัวลง แต่คาดว่าปรับตัวลงในกรอบจำกัด แนะนำเปิดสถานะขายบริเวณ 2,335 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,340 ดอลลาร์ และสามารถทำกำไรบริเวณ 2,300 ดอลลาร์

ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5% แนวรับ 40,300 และ 40,200 บาท แนวต้าน 40,600 และ 40,650 บาท ราคาทองคำแท่งมีแนวโน้มปรับตัวลงเล็กน้อย ส่วนเงินบาทกลับมาอ่อนค่า ซึ่งเคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดโลก จากดอลลาร์แข็งค่า การเข้าซื้อทองคำรอบใหม่ แนะนำ Wait & See เนื่องจากยังมีโอกาสที่ราคาทองคำแท่งปรับตัวลงได้อีก

สำหรับราคาทองวันนี้ บวก 100 บาท (ครั้งที่2) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 40,500 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 40,400 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 41,000บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 39,673.72บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,371 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 36.95 บาทต่อดอลลาร์

โดยราคาทองรูปพรรณ(ยังไม่ร่วมค่ากำเหน็จ) มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,063 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,125 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 20,250 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 40,500 บาท มีค่ากำเหน็จเฉลี่ย 500 บาท

 อ่านข่าว:

ค้าน! ขึ้นค่าแรง 400 บาท หอการค้า หวั่นกระทบขีดการแข่งขัน

แกะรอย มหกรรมโชว์กินข้าว 10 ปี กินได้จริงหรือ? ฤาหาทางลง

เผยวิธีเก็บข้าว 10 ปี ผู้เชี่ยวชาญกังวลคุณค่าทางอาหารถูกย่อยสลาย


"เครดิตบูโร" เผย Q1 หนี้เสียพุ่ง 6.4 หมื่นล้าน Gen X-Y จ่อหนี้ท่วม

Wed, 8 May 2024 11:07:02

วันนี้ (8 พ.ค.2567) นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) โพสต์เฟซบุ๊ก surapol.opasatien ระบุ สถานการณ์หนี้บัตรเครดิตไทย ว่า ข้อมูลไตรมาสที่ 1/2567 เกี่ยวกับสินเชื่อบัตรเครดิตจากฐานข้อมูลสถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร ตั้งแต่ต้นปี 2567 การจ่ายชำระหนี้ขั้นต่ำของบัตรเครดิตจะต้องเริ่มต้นที่ 8%จากเดิมที่ผ่อนผันในช่วงการระบาด covid-19 ที่กำหนดไว้ 5%

โดยมีคำถามมาโดยตลอดว่า ถ้ากติกาใหม่ออกมาจะทำให้หนี้เสียหรือ NPLs กระโดดหรือไม่ จะทำให้หนี้กำลังจะเสียหรือ SM กระโดดหรือไม่ หากดูตัวเลข ณ มี.ค.2567 ยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด 24 ล้านใบ เป็นเงิน 5.5 แสนล้านบาทเติบโต 3.2% ช่วงเดียวกันปีก่อน ถ้าเทียบจากสิ้นปี 2566 หดตัว 5.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ถือว่าไม่มีอะไรแปลกใจ

ตัวเลขบัญชี สินเชื่อบัตรเครดิตที่เป็น NPLs ค้างเกิน 90 วันจะมีจำนวนประมาณ 1 ล้านบัตรเศษคิดเป็นยอดเงิน 6.4 หมื่นล้านบาทเติบโต 14.6% จากปีก่อน อันนี้เริ่มไม่สบายใจแล้ว
กราฟแสดงบัตรเครดิตที่เป็น​ SM.จำนวนเกือบ​สองแสนใบของกลุ่มGenYและGenX

กราฟแสดงบัตรเครดิตที่เป็น​ SM.จำนวนเกือบ​สองแสนใบของกลุ่มGenYและGenX

นายสุรพล กล่าวอีกว่า หากดู ยอดหนี้ที่เป็น SM หรือหนี้ที่กำลังจะเสียพบว่ามีจำนวนบัตรที่ชำระหนี้ได้แบบตะกุกตะกัก ติดๆ ขัดๆ 1.9 แสนบัตร จำนวนเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 32.4% จากปีก่อน มาถึงตรงนี้เริ่มตาโตแล้วว่า แค่สามเดือนแรกของการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำทำไมมันเกิดการกระโดดใน SM ตามต่อไปดูว่าแล้วมันโตจากปลายปี 2566 เท่าใดก็พบว่าเติบโตถึง 20.6% จากไตรมาสก่อนหน้า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ต้องระวังว่ามันจะไหลเพิ่ม ไหลแรงกว่าเดิมหรือไม่

นอกจากปัญหาค่าครองชีพแล้ว รายได้ไม่ฟื้นตัว เปราะบางจนนุ่มนิ่ม มันสะท้อนแล้วว่าชำระหนี้สินเชื่อนี้ได้ลำบากมากขึ้น

ทั้งนี้จากกราฟแสดงให้เห็นว่า บัตรเครดิตที่เป็น SM.จำนวนเกือบสองแสนใบ พบว่า เปิดมาไม่เกิน 2 ปี มีจำนวน 3.6 หมื่นบัตร อยู่ในมือคน Gen Y 2.3 หมื่นบัตร เปิดมามากกว่า 2 ปีแต่ไม่เกิน 4 ปีมีจำนวน 3.9 หมื่นบัตร อยู่ในมือ Gen Y 2.7หมื่นบัตร Gen X 9.2 พันบัตร เปิดมามากกว่า 4 ปีแต่ไม่เกิน 6 ปี 4.5 หมื่นบัตร อยู่ในมือคน Gen Y 3 หมื่นบัตร Gen X 1.2 หมื่นบัตร

“มีคำถามตัวโตๆ คือ SM.จะไหลต่อเป็น NPLs.อีกเท่าใด การกำหนดให้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 8% และ 10%ตามลำดับ ช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้จริงๆตามเป้าประสงค์มาตรการ ความจริงคนเรามีบัตรเครดิตได้หลายใบ การเพิ่มอีก 3%ของยอดหนี้ในแต่ละใบ คนไม่เคยเป็นหนี้อาจนึกไม่ออกว่าจะหมุนหาจากไหนไปจ่ายได้ และประการสุดท้ายค่าใช้จ่ายทั้งหลายมันเริ่มเพิ่มอย่างชัดเจนเช่น ไข่ไก่ ผักบางชนิด น้ำมันก็เริ่มขยับ เป็นต้น"

นายสุรพล เขียนปิดท้ายโพส ว่า การท่องตำราแก้ปัญหากับการท่องยุทธจักรแบบเดินเผชิญสืบ มันใช้ใจที่ต่างกัน ตัวอย่างเรื่องนี้คือหนังชีวิตจริง แต่ถ้ามองเป็นหนังอานิเมะ มันก็อาจผิดเพี้ยน ต้องกลับมาดูกันเพราะแค่ 3 เดือนกลิ่นมันแรงแบบโตขึ้น 32.4%yoy 20.6%qoq มันไม่ธรรมดานะครับ

อ่านข่าว:

เผยวิธีเก็บข้าว 10 ปี ผู้เชี่ยวชาญกังวลคุณค่าทางอาหารถูกย่อยสลาย

แกะรอย มหกรรมโชว์กินข้าว 10 ปี กินได้จริงหรือ? ฤาหาทางลง

ค้าน! ขึ้นค่าแรง 400 บาท หอการค้า หวั่นกระทบขีดการแข่งขัน


เผยวิธีเก็บข้าว 10 ปี ผู้เชี่ยวชาญกังวลคุณค่าทางอาหารถูกย่อยสลาย

Tue, 7 May 2024 20:08:00

วันนี้ (7 พ.ค.2567) หลังถูกตั้งคำถามกันมากว่า การโชว์กินข้าวของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ระหว่างเปิดโกดังเก็บข้าวใน โครงการรับจำนำข้าวเมื่อ 10 ปี ก่อน ที่ จ.สุรินทร์ ว่ากินได้จริงหรือ 

อ่านข่าว : แกะรอย มหกรรมโชว์กินข้าว 10 ปี กินได้จริงหรือ? ฤาหาทางลง

ไทยพีบีเอส ลงพื้นที่ไปโรงสี ส.ชัยเจริญ จำกัด พบกับนายโรจนินทร์ หิรัญโชคอนันต์ อดีตเจ้าของโรงสีภาคอีสาน 3 จังหวัด จ.สุรินทร์, บุรีรัมย์ และ ศรีสะเกษ อธิบายการเก็บรักษาข้าวในโกดัง อันดับแรก คือสถานที่จัดเก็บต้องมิดชิด เป็นโกดังปิด

โรจนินทร์ หิรัญโชคอนันต์

โรจนินทร์ หิรัญโชคอนันต์

ที่สำคัญการกำจัดมอด ก็จะใช้วิธีการรมยา โดยใช้สารฆ่าแมลงไม่มีกระดูก ที่เจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า หรือ อคส. มาฉีดพ่นเอง ทางโรงสีจะเป็นคนจ่ายเงินจำนวนหมื่นกว่าบาท ยืนยันว่าข้าวที่เก็บในโกดังสามารถรับประทานได้จริง

ส่วนประเด็นที่มีการพูดว่า ต้องซาวข้าวล้างน้ำ 15 ครั้ง นั้น นายโรจนินทร์ บอกว่า ความจริงๆ แล้วล้าง 3 ครั้งก็เพียงพอ แต่ที่ภาพออกไป เพราะต้องการให้เห็นถึงการซาวน้ำที่สะอาดและถูกสุขอนามัยเท่านั้น

อ่านข่าว : "สารรมควัน" ในเมล็ดข้าวสาร "ไม่เสื่อมสภาพ ตกค้าง ล้างไม่ออก"

ขณะที่นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน สาขาผู้ทรงภูมิปัญญาและมีคณูปการต่อภาคเกษตรไทย อธิบายกระบวนการที่จะรักษาคุณภาพข้าวได้ยาวนาน มี 2 วิธี วิธีแรก คือการแทนค่าออกซิเจนด้วยคาบอนไดออกไซด์ หรือไนโตรเจน เพื่อลดกระบวนการออกซิเดชัน หรือกระบวนการย่อยสลายตัวเองตามธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นกับอาหารหรือพืชทุกชนิด และการเอาไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ -15 องศาเซลเซียส

แต่เมื่อดูจากการเปิดโกดังเก็บข้าวสารเมื่อวานนี้แล้ว ทำให้กังวลว่าคุณค่าทางอาหารอาจถูกย่อยสลายตามธรรมชาติแล้ว อาจทำให้ข้าวที่นำมารับประทานไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ

อ่านข่าว :

ส่องนัยการเมือง "ภูมิธรรม" ชิมข้าว 10 ปี ปูทาง "ยิ่งลักษณ์" กลับไทย

จับกระแสการเมือง : วันที่ 7 พ.ค.67 "ปิดรอยแผลเก่า-กินข้าวโชว์" วิวาทะเดือด โครงการรับจำนำข้าว 10 ปี

"สมชัย" แนะตรวจสอบคุณภาพข้าว 10 ปี สร้างความมั่นใจก่อนขาย


กรมการค้าต่างประเทศ ลุยเดินหน้าจัดสัมมนา ขยายโอกาส SME ไทย

Tue, 7 May 2024 16:33:37

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่ากรมฯ ได้เตรียมพร้อมยกทัพวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA เดินสายจัดงานสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในตลาดสากลทั่วประเทศ เพื่อยกระดับความรู้แก่ผู้ประกอบการ ส่งเสริมและผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA อย่างครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิต ผู้ส่งออกสินค้าไทย และเตรียมความพร้อมในการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงล่าสุด

ได้แก่ ความตกลงการค้าเสรีไทย - ศรีลังกา ที่ได้ลงนามความตกลงเมื่อเดือน ก.พ.2567 ที่ผ่านมา รวมถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับการขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า และเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ หรือ Workshop

สำหรับการใช้งานระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ในหัวข้อ “FAST, FUTURE, FREE TRADE ขยายโอกาส SME ไทย ก้าวไกลด้วยสิทธิประโยชน์ทางการค้า” ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศ มีกำหนดการจัดงานต่อเนื่องในเดือน พ.ค. - มิ.ย.2567 รวม 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 วันที่ 8 และ 9 พ.ค.2567 ณ โรงแรม The Tide Resort Bangsaen Beach, Thailand จ.ชลบุรี

ครั้งที่ 2 วันที่ 29 พ.ค.2567 ณ โรงแรม ราชาวดี รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล จ.ขอนแก่น

ครั้งที่ 3 วันที่ 26 มิ.ย.2567 ณ โรงแรม คุ้มภูคำ จังหวัดเชียงใหม่ และในช่วงครึ่งปีหลัง กรมฯ มีกำหนดจัดสัมมนาอีก 2 ครั้งในจังหวัดสงขลา และนครพนม

สำหรับการสัมมนาภายใต้โครงการส่งเสริม SME ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล ประจำปี 2567 นี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA ได้ไปต่อยอดการดำเนินธุรกิจ และขยายโอกาสการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งงานนี้นอกจาก จะมีการยกทัพนักวิชาการพร้อมให้ความรู้ ความเข้าใจ แบบเชิงลึกอย่างครบวงจรจากกรมการค้าต่างประเทศแล้ว ยังได้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาได้สอบถามหรือปรึกษาหารือเกี่ยวกับการขยายตลาดส่งออกไปยังต่างประเทศได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

อ่านข่าว :

ค้าน! ขึ้นค่าแรง 400 บาท หอการค้า หวั่นกระทบขีดการแข่งขัน

สหรัฐฯ คงสถานะไทยในบัญชี "ต้องจับตามอง" ด้านคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

บาทอ่อนดันส่งออก “หอมมะลิไทย” 3 เดือน พุ่ง 40.4%


"ทช." ขยายถนนชัยพฤกษ์ 10 เลน เชื่อม 3 จว.คาดแล้วเสร็จปี 67

Tue, 7 May 2024 16:19:45

วันนี้ (7 พ.ค.2567 ) นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ดำเนินโครงการขยายถนนชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้งานของถนนชัยพฤกษ์ให้สมบูรณ์ สามารถรองรับปริมาณการจราจรได้มากขึ้น

รวมถึงยังเป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด แบ่งเบาการจราจรที่ต้องการเดินทางออกนอกเมือง ในช่วงเวลาเร่งด่วนได้เป็นอย่างดี เพื่อความสะดวกรวดเร็วปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน และสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในระยะยาวอีกด้วย

กรมทางหลวงชนบท แก้ไขการจราจรติดขัด เพิ่มศักยภาพการเดินทาง กรุงเทพฯ - นนทบุรี - ปทุมธานี ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขยายถนนชัยพฤกษ์ 10 เลน คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2567 นี้

กรมทางหลวงชนบท แก้ไขการจราจรติดขัด เพิ่มศักยภาพการเดินทาง กรุงเทพฯ - นนทบุรี - ปทุมธานี ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขยายถนนชัยพฤกษ์ 10 เลน คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2567 นี้

สำหรับโครงการขยายถนนชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 67 ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างสะพานข้ามคลองพระอุดม งานปูผิวจราจรแอสฟัลท์คอนกรีต และงานก่อสร้างทางเท้า คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ และเปิดให้ประชาชนได้ใช้สัญจรในช่วงปลายปี 2567 นี้

ทั้งนี้ แบ่งการดำเนินงานออกเป็นงานก่อสร้างปรับปรุงถนนคู่ขนานระดับดิน ขนาด 2 ช่องจราจรต่อทิศทาง จากเชิงลาดสะพานพระราม 4 ถึงทางแยกต่างระดับถนนราชพฤกษ์ และงานปรับปรุงขยายผิวจราจร ขนาด 1 ช่องจราจรต่อทิศทาง

จากทางแยกต่างระดับถนนราชพฤกษ์ถึงถนนบางกรวย - ไทรน้อย รวมระยะทาง 6.892 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างสะพานข้ามคลองพระอุดม สะพานข้ามคลองบางภูมิ 4 แห่ง และงานก่อสร้างทางเท้า ระบบระบายน้ำ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ใช้งบประมาณก่อสร้าง 902 ล้านบาท

กรมทางหลวงชนบท แก้ไขการจราจรติดขัด เพิ่มศักยภาพการเดินทาง กรุงเทพฯ - นนทบุรี - ปทุมธานี ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขยายถนนชัยพฤกษ์ 10 เลน คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2567 นี้

กรมทางหลวงชนบท แก้ไขการจราจรติดขัด เพิ่มศักยภาพการเดินทาง กรุงเทพฯ - นนทบุรี - ปทุมธานี ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขยายถนนชัยพฤกษ์ 10 เลน คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2567 นี้

เนื่องจากปัจจุบันถนนชัยพฤกษ์เป็นถนนขนาด 6 ช่องจราจร มีปริมาณจราจรสูงกว่า 40,000 คันต่อวัน ส่งผลให้ถนนชัยพฤกษ์มีสภาพการจราจรที่หนาแน่น และมีแนวโน้มที่จะติดขัดมากขึ้น ประกอบกับเมื่อถนนราชพฤกษ์ - ถนนกาญจนาภิเษก (แนวเหนือ - ใต้) เปิดใช้งาน ทำให้ถนนชัยพฤกษ์สามารถเชื่อมต่อกับพื้นที่ จ.ปทุมธานี ได้รวดเร็วและสะดวกมากยิ่งขึ้น จึงเป็นการดึงดูดปริมาณจราจรให้เข้ามาใช้เส้นทางถนนชัยพฤกษ์มากตามไปด้วย

กรมทางหลวงชนบท แก้ไขการจราจรติดขัด เพิ่มศักยภาพการเดินทาง กรุงเทพฯ - นนทบุรี - ปทุมธานี ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขยายถนนชัยพฤกษ์ 10 เลน คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2567 นี้

กรมทางหลวงชนบท แก้ไขการจราจรติดขัด เพิ่มศักยภาพการเดินทาง กรุงเทพฯ - นนทบุรี - ปทุมธานี ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขยายถนนชัยพฤกษ์ 10 เลน คาดก่อสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2567 นี้

ทั้งนี้ ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ทช. ได้ทำการติดตั้งแบริเออร์ และป้ายเตือนลดความเร็วเพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน จึงขอความร่วมมือให้ผู้ใช้เส้นทางโปรดสังเกตป้ายจราจร รวมถึงปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำ อย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนต่อไป

อ่านข่าว

จุดตัดถนน จุดเสี่ยงอันตราย ถ.ชัยพฤกษ์ - ถ.กาญจนาภิเษก

ครม.ไฟเขียว 3 มาตรการศก.ตรึงดีเซล-ลดค่าไฟ 19.05 สตางค์ 

ตร.ฝากขัง "ชาวจีน" ร่วมขบวนการอุ้มรีดเงิน-ค้านประกันตัว

 

 

 


เปิดประวัติ "วุฒิไกร ลีวีระพันธ์ุ" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ คนใหม่

Tue, 7 May 2024 16:15:00

วันนี้ ( 7 พ.ค.2567) นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ เห็นชอบให้ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธ์ุ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ แทนตำแหน่งที่ว่างลง

สำหรับ"วุฒิไกร ลีวีระพันธุ์" ถือเป็นลูกหม้อของกระทรวงพาณิชย์ ไต่เต้าจากตำแหน่งข้าราชการเล็กๆ และเติบโตมาตามลำดับ จาก ผอ.กองพาณิชย์อิเล็ก ทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าในปี 2547 และต่อมาปี 2551 เป็น ผอ. สถาบันกรมพระจันทบุรีนฤนาถ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก่อนขยับมาตามลำดับ และถือว่ามีอาวุโสสูงสุด รวมทั้งมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับฝ่ายการเมือง 

เปิดประวัติการศึกษา-ทำงาน

การศึกษา มัธยมศึกษา :โรงเรียนอัสสัมชัญ อุดมศึกษา รัฐศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Master of Science in Administration , Boston University , U.S.A.

การศึกษาอื่นๆ :วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 57 (2557)
ตำแหน่งปัจจุบัน : อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา
การดำรงตำแหน่งอื่นที่สำคัญ :กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

ส่วนประวัติการทำงาน

2562 อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
2559 ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์
2555 ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (ระดับ 10)
2551 ผู้อำนวยการสถาบันกรมพระจันทบุรีนฤนาถ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
2547 ผู้อำนวยการกองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ประวัติการดำรงตำแหน่งและประสบการณ์ในอดีตที่สำคัญ

คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment
คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ธนาคารแห่งประเทศไทย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

28 กรกฎาคม 2563 มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
5 ธันวาคม พ.ศ.2557 มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
ทั้งนี้นายวุฒิไกร ถือว่ามีความเป็นอาวุโสมากที่สุดในระดับผู้บริหารของกระทรวงพาณิชย์ โดยปัจจุบัน อายุ 58 ปี ซึ่งจะเกษียณ อายุราชการในปี2567 ซึ่งจะมีเวลาในการบริหารงานในกระทรวงพาณิชย์อีก 2ปี

อ่านข่าวอื่นๆ:

"ภูมิธรรม" ขนทัพสื่อ-ผู้ส่งออก บุกโกดังข้าว 10 ปี ยันกินได้

บาทอ่อนดันส่งออก “หอมมะลิไทย” 3 เดือน พุ่ง 40.4%

"สมชัย" แนะตรวจสอบคุณภาพข้าว 10 ปี สร้างความมั่นใจก่อนขาย


ค้าน! ขึ้นค่าแรง 400 บาท หอการค้า หวั่นกระทบขีดการแข่งขัน

Tue, 7 May 2024 14:20:00

วันนี้ (7 พ.ค.2567) นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศโดยจะให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ต.ค. 2567 ซึ่งหอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น ขอแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยและขอคัดค้านนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศดังกล่าว

นายพจน์  อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาชิกภาคเอกชนเข้าใจนโยบายและเป้าหมายการปรับอัตราค่าจ้างเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยในประเทศไทยของรัฐบาล แต่รัฐบาลควรคำนึงถึงข้อเท็จจริงอื่นประกอบด้วยสภาพเศรษฐกิจแต่ละจังหวัด ธุรกิจ มีความพร้อมแตกต่างกัน

อย่างไรก็ตามทางภาคเอกชนยังคงสนับสนุนให้รัฐบาลพิจารณานโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี ตามหลักกฎหมายซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ตามที่คณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) ต้องศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่น

โดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความสามารถของประเภทธุรกิจตามที่กฎหมายกำหนด ผ่านระบบและกลไกการพิจารณาศึกษาของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เพื่อปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีให้เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน

การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ถือว่า เกินกว่าพื้นฐานสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและสังคม จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทันทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าแต่ละจังหวัด และแต่ละประเภทธุรกิจ มีความพร้อมของสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน ซึ่งการปรับอัตราค่าจ้างที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนการขนส่ง ต้นทุนการบริการ และต้นทุนการจ้างงานทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน

นายพจน์ กล่าวอีกว่า โดยเฉพาะภาคเกษตร ภาคการค้าและบริการ ภาคท่องเที่ยว และผู้ประกอบการ SMEs เนื่องจากผู้ประกอบการจะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ดังนั้นการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยไม่คำนึงตามที่กฎหมายกำหนดจะส่งผลให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ หยุดกิจการ ลดขนาดกิจการ หรือปรับธุรกิจออกนอกระบบภาษี จนนำไปสู่การปลดลูกจ้างและเลิกจ้างพนักงานเพื่อลดต้นทุนให้อยู่รอด ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

อีกทั้ง การปรับอัตราค่าจ้างที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง ยังเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย ทำให้เกิดความไม่มั่นใจถึงต้นทุนของการทำธุรกิจและนโยบายภาครัฐ

เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ยังมีปัญหาจากปัจจัยหลายประการที่มีความผันผวน เช่น ค่าเงินบาท ราคาพลังงาน มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ และสงครามการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันและความน่าสนใจในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม หอการค้าทั่วประเทศ และสมาคมการค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้น มี 4 ข้อเสนอต่อนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาล ประกอบด้วย 1. การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีควรปรับตามที่กฎหมายบัญญัติกำหนดไว้ในมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ส่วนการยกระดับรายได้ลูกจ้างให้สูงขึ้น ก็สามารถทำได้โดยกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน ซึ่งกฎหมายบัญญัติกำหนดไว้แล้วเช่นกัน

76 หอการค้า 54 สมาคมการค้า ประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ

76 หอการค้า 54 สมาคมการค้า ประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ

2. ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงผลการศึกษาและการรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด และคณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) อีกทั้ง ปัจจุบัน รัฐบาลได้ดำเนินการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2567 ไปแล้ว 2 ครั้ง จึงไม่ควรมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปีเป็นครั้งที่ 3

3. อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเพียงอัตราค่าจ้างของแรงงานแรกเข้าที่ยังไม่มีฝีมือ แต่การปรับอัตราจ้างควรพิจารณาจากทักษะฝีมือแรงงาน ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน

ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมมาตรการทางภาษี ลดอุปสรรคต่อการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการและแรงงาน ให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity)

4.การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ควรให้มีการรับฟังความคิดเห็น และศึกษาถึงความพร้อมของแต่ละพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ รวมทั้งควรให้มีการหารือร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจก่อนปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะพื้นที่จังหวัดและประเภทธุรกิจ ดังกล่าว

“หากรัฐบาลยืนยันที่จะให้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ โดยไม่คำนึงถึงกระบวนการและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาตัวเลขการปรับที่เหมาะสม ภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ จำเป็นที่จะต้องรักษาสิทธิในการดำรงไว้ของหลักนิติธรรม (The Rule of Law) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกภาคเอกชนที่มีส่วนได้เสียในการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวต่อไป"

นายพจน์ กล่าวอีกว่า การร้องเรียนจากผู้ประกอกบการทั่วประเทศ พบว่า 40% ได่ผลกระทบ  อันดับแรกเจอผลประทบหนักภาคเกษตร ตามด้วยภาคบริการ และ เอสเอ็มอี ตอนนี้มี 54 สมาคมลงนามคัดค้าน แต่เชื่อว่าจะเพิ่มกว่า โดยหอการค้าจะนำจดหมายคัดค้านขึ้น 400 บาทเท่าทั่วประเทศและเข้าพบรมว.แรงงาน วันที่ 13 พ.ค.นี้

ทั้งนี้สำหรับรายชื่อคัดค้าน ได้แก่หอการค้าจังหวัด ได้แก่

1) หอการค้าภาคเหนือ 17 จังหวัด
2) หอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด
3) หอการค้าภาคกลาง 17 จังหวัด
4) หอการค้าภาคตะวันออก 8 จังหวัด
5) หอการค้าภาคใต้ 14 จังหวัด

สมาคมการค้าฯ ได้แก่

1) สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย
2) สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย
3) สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย
4) สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทย
5) สมาคมยางพาราไทย
6) สมาคมน้ำยางข้นไทย
7) สมาคมธุรกิจไม้
8) สมาคมเฟอร์นิเจอร์ไทย
9) สมาคมการค้าของเล่นและผลิตภัณฑ์ เด็กไทย
10) สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
11) สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
12) สมาคมการค้้านวัตกรรมการพิมพ์ไทย
13) สมาคมโรงแรมไทย
14) สมาคมผู้ค้าปลีกไทย
15) สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย
16) สมาคมหินอ่อนและแกรนิตไทย
17) สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน
18) สมาคมอาคารชุดไทย
19) สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย
20) สมาคมการค้าผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการ น้ำมันพลังไทย
21) สมาคมผู้ผลิตสีไทย
22) สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย
23) สมาคมการค้าเครื่องกีฬา
24) สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย
25) สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
26) สมาคมตลาดสดไทย
27) สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป
28) สมาคมกุ้งไทย
29) สมาคมอุตสาหกรรมนมและอาหาร
30) สมาคมอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย
31) สมาคมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ อาเซียน
32) สมาคมภัตตาคารไทย
33) สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย
34) สมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน
35) สมาคมบรรจุภัณฑ์ไทย
36) สภาองค์การนายจ้างธุรกิจไทย
37) สมาคมรักษาความปลอดภัยภาคฟื้นเอเชีย (APSA)
38) สมาคมสภารักษาความปลอดภัย
39) สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัย แห่งประเทศไทย
40) สมาคมผู้บริหารงานรักษาความปลอดภัย แห่งประเทศไทย
41) สมาคมสหพันธ์ธุรกิจรักษาความปลอดภัย
42) สมาคมผู้ประกอบวิชาชีพรักษาความ ปลอดภัยภาคเหนือ
43) สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัย ภาคเหนือ
44) สมาคมผู้บริหารงานรักษาความปลอดภัย ภาคตะวันออก
45) สมาคมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัย (ภาคอีสาน)
46) สมาคมอารักขาบุคคลสำคัญ
47) สมาคมบริหารงานรักษาความปลอดภัยไทย
48) สมาคมการค้าธุรกิจคุ้มกันภัย
49) สหพันธ์นายจ้างวิชาชีพรักษาความปลอดภัย
50) ชมรมครูฝึกรักษาความปลอดภัยไทย
51) ชมรมผู้ประกอบการรักษาความปลอดภัย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
52) ชมรมบริษัทรักษาความปลอดภัยพันธมิตร (ภาคใต้)
53) ชมรมพันธมิตรธุรกิจรักษาความปลอดภัย
54) กลุ่มพัฒนาวิชาชีพรักษาความปลอดภัย

อ่านข่าวอื่นๆ:

บาทอ่อนดันส่งออก “หอมมะลิไทย” 3 เดือน พุ่ง 40.4%

ค้านหนัก! เอกชนชี้ "ดาบสองคม" ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท

"ภูมิธรรม" ขนทัพสื่อ-ผู้ส่งออก บุกโกดังข้าว 10 ปี ยันกินได้

 


"สมชัย" แนะตรวจสอบคุณภาพข้าว 10 ปี สร้างความมั่นใจก่อนขาย

Tue, 7 May 2024 13:53:00

จากกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง และจากนี้จะมีการตรวจสอบก่อนประกาศจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไป จนทำให้ #จำนำข้าว ติดเทรนด์ฮิตใน สื่อสังคมออนไลน์ 

ล่าสุด นายสมชัย ศรีสุทธิยากร โพสต์เฟซบุ๊ก โดยให้ความเห็นว่าการนำข้าว 10 ปีมาขายอาจส่งผลกระทบให้ประชาชนเลิกรับประทานข้าวแกง 

อ่านข่าว : ไขคำตอบ! "ข้าวสาร" เก็บได้นานแค่ไหน ? 

นายสมชัยมองว่า ข้าวที่เก็บไว้ในโกดังกล่าวเป็นระยะเวลา 10 ปี จำนวน 150,000 กระสอบ จะต้องรมยาทุก 2 เดือน จึงเท่ากับต้องผานกรรมยา 50 -60 รอบ ซึ่งจะทำให้คุณค่าทางอาหารหายไป และมีความเสี่ยงถึงสารรมยาที่จะสะสมในข้าว  รวมถึงเสี่ยงเชื้อราอัลปาท็อกซิน และต้องซาวหลายครั้งจึงจะนำไปหุงให้รับประทานได้

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ หากจำหน่ายในราคา 18 บ.ต่อ กก.ทำให้อาจมีผู้ซื้อไปและผู้ค้ารายย่้อยจะนำไปผสมกับข้าวใหม่เพื่อลดต้นทุนข้าวแกงที่ขาย เมื่อถึงเวลานั้น กระทรวงพาณิชย์ อาจต้องแก้ปัญหาประชาชนไม่กล้ารับประทานข้าวแกงได้ 

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง

นายสมชัยจึงแนะนำให้ สร้างความเชื่อมั่อนก่อนที่จะประมูลขายข้าวให้เอกชน ใน 4 วิธีคือ 1.ให้สถาบันการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ทดสอบ วิจัยคุณภาพข้าวและความเสี่ยงอันตรายที่อาจมีจากสารตกค้าง และเชื้อราอัลฟาท็อกซินในข้าว 10 ปี 2.เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน ควรใช้ข้าว 10 ปี หุงเป็นอาหารกลางวันแก่คณะรัฐมนตรี 1 เดือนเต็ม

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง

3.เพื่อให้ผู้แทนปวงชนชาวไทยมีโอกาสช่วยยืนยันความเชื่อมั่น ควรใช้ข้าว 10 ปี หุงเป็นอาหารในสภาผู้แทนราษฎร อย่างน้อย 1 เดือน 4. เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ ขายข้าวด้วยความมั่นใจ ควรให้ข้าราชการรวมทั้งทีมงานการเมืองในกระทรวงทานข้าวที่หุงจากข้าว 10 ปี 1 เดือนเต็ม

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง

อ่านข่าว

"ภูมิธรรม" ขนทัพสื่อ-ผู้ส่งออก บุกโกดังข้าว 10 ปี ยันกินได้ 

จ่อเปิด 2 โกดัง "จำนำข้าว" ภูมิธรรม ดันขายข้าวเก่า 10 ปี ยังกินได้

 ชงครม.ตั้งปลัดพณ.คนใหม่สัปดาห์หน้า "ภูมิธรรม"เผยมีคนในใจแล้ว 

 

 

 


ค้านหนัก! เอกชนชี้ "ดาบสองคม" ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท

Mon, 6 May 2024 14:13:00

วันนี้ (6 พ.ค.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันที่ 7 พ.ค.2567 นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการคนที่ 1 หอการค้าไทย และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ร่วมกันแถลงข่าว

โดยนายพจน์ ระบุว่าคัดค้านการขึ้นแรงงานขั้นต่ำเท่ากันทั่วประเทศ เพราะจะเป็นดาบสองคมของภาคธุรกิจ ซึ่งบางธุรกิจสามารถปรับขึ้นได้ แต่บางธุรกิจอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบมากกว่าบวก จึงควรปรับขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเหมาะสม และใช้แรงงานคนไทยมากกว่าแรงงานต่างชาติ

ส่วนนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรง แต่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้น 400 บาททั้งประเทศ และอยากชี้ในประเด็นว่า การขึ้น 400 บาท ใครได้ประโยชน์มากที่สุด กระทรวงแรงงานควรรับฟังความเห็น ต้องมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งการดึงแรงงานเข้าระบบประกันสังคม เพื่อให้มีสวัสดิการและได้รับการดูแลค่าแรงที่เป็นธรรม รวมทั้งเพิ่มทักษะขีดความสามารถด้วย เพื่อไม่ให้การขึ้นค่าแรงเป็นวาทกรรม หรือพิธีกรรมเท่านั้น

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน

ก่อนหน้านี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน แสดงความเชื่อมั่นว่าจะสามารถขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศได้สำเร็จในวันที่ 1 ต.ค.2567 แต่ก็จะหารือกับส่วนราชการอื่นๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดกับ SME รวมทั้งในวันที่ 13 พ.ค.นี้ จะหารือกับสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการอีกหลายสาขาอาชีพ รวมทั้งนายกสมาคมเอสเอ็มอี ว่าต้องการให้รัฐบาลช่วยอะไร และจะขอให้ รมว.พาณิชย์ ควบคุมราคาสินค้าที่ขึ้นล่วงหน้าไปบ้างแล้ว

มีรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์ ให้กรมการค้าภายในดูแลราคาสินค้าอุปโภค บริโภค รวมถึงราคาอาหารสำเร็จรูป ไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคา หลังมีข่าวจะปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท รวมทั้งการขึ้นเงินเดือนข้าราชการที่ทะยอยปรับขึ้นในเดือนนี้

อ่านข่าวอื่น :

เร่งตามจับ "แก๊งอุ้มรีดเงินชาวจีน" ขอหมายจับเพิ่มอีก 3 คน

"บิ๊กต่าย" สั่งตรวจคุณสมบัติกรรมการสอบสวนฯ หลัง "บิ๊กโจ๊ก" ร้องค้าน

"ทักษิณ" เคลื่อนตัว กระชับพื้นที่ ส่งผ่านอำนาจ "อุ๊งอิ๊ง" สู้ศึกระยะไกล


"ภูมิธรรม" ขนทัพสื่อ-ผู้ส่งออก บุกโกดังข้าว 10 ปี ยันกินได้

Mon, 6 May 2024 14:07:00

วันนี้ (6 พ.ค.2567) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ตามโครงการรับจำนำ ที่ บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 ต.เฉลียง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ โดยนำข้าวที่เก็บอยู่ในโกดังมาหุงและรับประทานร่วมกับสื่อมวลชนและผู้เกี่ยวข้อง และจากนี้จะมีการตรวจสอบก่อนประกาศจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกของรัฐเป็นการทั่วไป

อ่านข่าว : บาทอ่อนดันส่งออก “หอมมะลิไทย” 3 เดือน พุ่ง 40.4%

นายภูมิธรรม กล่าวว่า หลังจากที่เคยได้ลองชิมข้าวกับท่านผู้กำกับเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา แต่มีเสียงทักท้วงว่าข้าว 10 ปีกินไม่ได้ เหมือนเล่นละคร ข้าวปีหนึ่งก็เน่าแล้ว 5 ปีก็เน่าแล้ว ปัญหาอยู่ที่การเก็บรักษา ถ้าเก็บรักษาดีก็สามารถดูแลได้ ถ้าเก็บไม่ดีไม่ต้อง 5 ปี หนึ่งปีก็เน่าแล้ว ครั้งนี้อยากทำให้เกิดข้อสรุปที่ชัดเจนสิ้นข้อสงสัย จึงเชิญสื่อมวลชนทุกแขนง เจ้าของโรงสี ผู้ส่งออก ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้การจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นสักขีพยาน ตนทำกับข้าวมาให้ด้วย และจะเป็นผู้สังเกตการณ์ให้เจ้าหน้าที่เซอร์เวย์เยอร์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเอาข้าวใส่ถุงให้ผู้สื่อข่าวส่งตัวแทนขึ้นรถตำรวจไปอีกโรงสีหนึ่งเพื่อหุงรับประทาน

อ่านข่าว : สหรัฐฯ คงสถานะไทยในบัญชี "ต้องจับตามอง" ด้านคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

สำหรับที่นี่มีข้าวจำนวน 112,711 กระสอบ และที่พูนผลเทรดดิ้ง 32,879 กระสอบ รวมประมาณ 150,000 กระสอบ เป็นข้าวปี 56/57 ถึงวันนี้ก็ 10 ปีพอดี เป็นข้าวที่เก็บรักษาอย่างดี เจ้าของโรงสี เจ้าของโกดังรมยาตามมาตรฐาน ปิดโกดังแน่นหนา ไม่มีนกเข้า ไม่มีฝนตกที่ทำให้ข้าวเสีย ที่มีปัญหาข้าวบูดเน่าคือการเก็บรักษาที่ไม่ดี โรงสีทั้งสองถือว่ามีการเก็บรักษาที่ดี โรงสีกิตติชัยรมยาทุก 2 เดือน โรงสีพูนผลรมยาทุกเดือน และจากนี้ตนจะนำทานชวนท่านผู้ว่าฯ ท่านผู้การและสื่อมวลชนทานด้วยกันทำผัดกะเพราไข่เจียวไว้ จะได้ทานได้เต็มที่กินได้เต็มที่ ซึ่งผู้ถือกุญแจทั้ง 3 ส่วน ถือกุญแจคนละดอกมาเปิดต่อหน้า อยากเจาะถุงไหนชี้เลย จะได้เอาข้าวออกมาไปหุงชิมทั้งสองโรง

“หลังจากนี้เร็วที่สุด ภายในเดือนนี้น่าจะสามารถเปิดประมูลได้ จะทำให้เร็วที่สุดและอิสระ ตนพิสูจน์ขั้นต้นให้แล้ว จะประมูลเหมากองเอาไปทั้งหมดขายทั้งหมด เอาเงินเข้ารัฐจ่ายคืนเจ้าของโกดัง ตามความเหมาะสม เป็น 2 โกดังสุดท้ายของโครงการจำนำข้าวซึ่งจะได้พิสูจน์ว่าข้าว 10 ปียังทานได้ เป็นข้าว 2 โกดังสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ จนตนมาเป็นรัฐมนตรีฯให้พิสูจน์กันไปเลยจัดการให้จบ ไม่ต้องการให้เรื่องคั่งค้าง” นายภูมิธรรมกล่าว

โดยในช่วงเช้านายภูมิธรรม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน บริษัทเซอร์เวย์ผู้ตรวจสอบคุณภาพและรับข้าวสารเข้าคลัง สมาคมโรงสี ผู้ส่งออกข้าว อาทิ บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด บริษัท นครหลวงค้าข้าว จำกัด บริษัท เจ.พี.ไรซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล(1998)จำกัด คณะผู้สื่อข่าวร่วมเปิดโกดังที่คลังกิตติชัย หลัง 2 อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ และเก็บตัวอย่างข้าว รวม 9 ตัวอย่าง มาดูลักษณะทางกายภาพและนำมาหุงให้กับบรรดาสื่อมวลชนที่ร่วมลงพื้นที่ ร่วมกันชิมข้าวสวยที่ได้จากข้าวสารในโกดังทั้ง 2 แห่ง กับกะเพราไก่ ไข่เจียว

ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์

ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์

ทั้งนี้ข้อมูลจากองค์การคลังสินค้า(อคส.) ระบุว่า โครงการรับจำนำฯปี 2556/57 จ.สุรินทร์ 1.คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) รับมอบข้าวสารตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2557 ถึง 10 มีนาคม 2557 เก็บข้าวแล้ว 10 ปี 2 เดือน รวมปริมาณทั้งสิ้น 26,094 ตัน หรือ 258,106 กระสอบจาก 24 โรงสี และได้มีการระบายข้าวสารแล้ว 3 ครั้ง คงเหลือ 11,656 ตัน หรือ 112,711 กระสอบ

2.คลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 (ข้าวหอมมะลิ 100%) รับมอบข้าวสารตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2557 ถึง 29 เมษายน 2557 เก็บข้าวแล้ว 10 ปี 7 วัน มีปริมาณรวมทั้งสิ้น 9,567 ตัน หรือ 94,637 กระสอบ จาก 6 โรงสี ซึ่งระบายข้าวสารแล้ว 4 ครั้ง คงเหลือ 3,356 ตัน หรือ 32,879 กระสอบ

ด้าน น.ส.ทิชาภา อ่าวพัฒนา เจ้าของโกดังกิตติชัย กล่าวว่า โกดังได้ปฏิบัติตามที่ อคส. (องค์การคลังสินค้า) สร้างมาตรฐานไว้ โดย

1.ดูความเรียบร้อยของคลังไม่ให้เกิดน้ำรั่ว ถ้าเกิดน้ำรั่วจะทำให้ข้าวเน่าเสีย
2.ต้องรมยาทุก 2 เดือน
3.จำนวนกระสอบห้ามหาย ซึ่งมีการประมูลมาแล้ว ปกติมีข้าวประมาณ 400,000 กระสอบ ตอนนี้เหลือ 110,000 กระสอบ ประมูลมาแล้วเกิน 2 ครั้งจะเป็นหน้าที่ของ อคส.กับผู้ประมูล

ที่ผ่านมาการประมูลในแต่ละรอบราคาก็คือข้าวบริโภคเลย ซึ่งข้าวในโกดังมีการคัดกรองให้ได้ข้าวหอมมะลิคุณภาพตามมาตรฐาน เมื่อเดือนที่แล้วได้มีการเปิดคลังทดลองชิมไปเรียบร้อยยังบริโภคได้

และนายศุภชัย วรอภิญญาภรณ์ ผู้แทนจากบริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ กล่าวว่า ที่ตนมาร่วมพิสูจน์ข้าวในวันนี้เพราะลูกค้าในแอฟริกาสนใจซื้อข้าวเก่า เพราะหุงขึ้นหม้อหากคุณภาพตรงกับความต้องการของลูกค้าบริษัทก็พร้อมที่จะเข้าร่วมประมูล

อ่านข่าว : 

“ค้าภายใน” ช่วยชาวบ้านลดค่าครองชีพ ขายไข่คละแผง 95 บาท

น้ำมันขยับสูง ทำเงินเฟ้อไทยเพิ่ม 0.19% สินค้าเกษตรจ่อปรับราคา


"ผมถูกจ้างมาให้กังวล" ตัวตนผู้ว่าแบงก์ชาติ "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ"

Sun, 5 May 2024 14:14:00

10 นาทีสุดท้ายของการสมัคร "ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รอบ 2" นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ถึงได้ข้อสรุปให้ตัวเอง ยื่นชื่อสมัครตำแหน่ง ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ต่อมามติ ครม.วันที่ 29 ก.ค.2563 แต่งตั้ง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงินและที่ปรึกษาเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่

ไม่มีเพื่อนสนิทแต่มีเพื่อนที่หลากหลาย

ด้วยความเป็นลูกชายนักการทูต ชีวิตของ นก-เศรษฐพุฒิ จึงเติบโตมาท่ามกลาง "การเดินทาง" เขาบอกตัวเขาเองไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทเพราะต้องย้ายประเทศทุกครั้งตามภารกิจของครอบครัว แต่จุดแข็งที่เขามองเห็นจากวิกฤตการไม่มีเพื่อนแท้คือ "เขามีเพื่อนที่หลากหลาย" 

หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยมอันดับ 1) จากวิทยาลัยสวาร์ธมอร์ และ ปริญญาโท-ปริญญาเอกในสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล "ดร.นก" เริ่มงานที่แรกในบริษัทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ชื่อดัง "แมคคินซีย์ แอนด์ คอมพานี" ที่นิวยอร์ก เขาเล่าว่าที่นี่ให้โอกาสคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กใหม่หรือคนที่อยู่มานาน คอนเซปต์ของบริษัทคือต้องส่งมอบของที่ดีที่สุดให้ลูกค้า นั่นหมายถึงพนักงานทุกคนต้องกล้าเถียง กล้าเรียกร้อง เพื่อให้ได้ "สิ่งที่ดีที่สุด" ส่งให้ผู้รับบริการ  

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

อ่านข่าว : นายกฯ ปฏิเสธกดดัน "ผู้ว่าแบงก์ชาติ" ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

Export to World Bank - Import to BOT

จากนั้นเขาเข้าทำงานที่ธนาคารโลก (World Bank) กว่า 10 ปี ประสบการณ์การทำงานระดับโลกทำให้ นายเศรษฐพุฒิจึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มองความมีเสถียรภาพของโครงสร้างเศรษฐกิจระดับมหภาคเป็นสำคัญ 

การมองภาพระยะยาวมากพอ จะทำให้การประเมินความเสี่ยงต่ำลง 

ในสมัยวิกฤติเศรษฐกิจ "ต้มยำกุ้ง 2540" นายเศรษฐพุฒิถูกรัฐบาลสมัย นายกฯ ชวน หลีกภัย เรียกตัวมาช่วยงานในตำแหน่งผู้อำนวยการร่วม สถาบันวิจัยนโยบายการคลัง กระทรวงการคลัง ร่วมกับ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนก่อนหน้าเขา นายเศรษฐพุฒิมองว่าตัวเขาเองก็เจอวิกฤตทางการทำงานเช่นกัน จากคนที่โตในเมืองนอก ทำงานบริษัทต่างชาติ การกลับมาทำงานร่วมกับคนไทยที่ค่อนข้างมีพิธีรีตอง ลำดับชั้นยศ จึงเป็นความท้าทายแรกๆ หรือ Culture shock สำหรับเขา 

แต่มุมมองของคนที่ทำงานธนาคารโลก เมื่อวันที่ต้องมานั่งอยู่อีกฝั่งในฐานะตัวแทนประเทศไทยเจรจากับ IMF และธนาคารโลก จึงทำให้นายเศรษฐพุฒิมองขาดว่า ธนาคารโลกมองประเทศไทยอย่างไร การเจรจาจึงง่ายขึ้น 2 ปีต่อมา ทีมเศรษฐกิจที่นำโดยผู้ว่าการแบงก์ชาติ 2 คน (ดร.วิรไท และ ดร.เศรษฐพุฒิ) ก็สามารถพาเศรษฐกิจไทยก้าวพ้นวิกฤติต้มยำกุ้งได้ นายเศรษฐพุฒิจึงตัดสินใจลาออกกลับไปทำงานที่ธนาคารโลกอีกครั้ง 

จนในปี 2548 ในยุคนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เชิญนายเศรษฐพุฒิ กลับสู่เส้นทางการเงินการคลังของประเทศไทยอีกครั้ง ด้วยการดำรงตำแหน่ง "ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่" ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจากนั้นเขาก็ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในสถาบันการเงินระดับประเทศอีกมากมาย จนก้าวขึ้นสู่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน

อ่านข่าว : หลายฝ่ายโต้กลับ "อุ๊งอิ๊ง" วิจารณ์ "ธปท."อุปสรรคพัฒนาประเทศ? 

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

หน้าที่ของคนแบงก์ชาติ "ถูกจ้างมาเพื่อกังวลแทนคนอื่น"

บนหอคอยงาช้างหลังกำแพงบางขุนพรหม ที่รายล้อมด้วยวิกฤตโควิด-19 ขณะที่นายเศรษฐพุฒิเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ เมื่อปี 2563 เขามีหน้าที่สำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นภาคเศรษฐกิจให้กลับมา  

เขาจ้างมาให้เรากังวล เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่ต้องกังวลมาก เพราะโดยหน้าที่ เรากังวลและระแวงแทนคนอื่นไปแล้ว

เขาปลอบใจตัวเองบนความกังวลแรกที่ต้องรับแก้ในวิกฤตขณะนั้น การทำให้ "การท่องเที่ยว" กลับมาด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) การท่องเที่ยวจะกลับมาได้ขึ้นอยู่กับวัคซีน สิ่งที่น่ากังวล คือ เราจะมีวัคซีนพอฉีดไหม การหยุดวิกฤตโควิดต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคน ไม่เช่นนั้น เราก็จะติดกับดักวงจรอุบาทว์ ระบาดระลอกใหม่-ล็อกดาวน์-รัฐเยียวยา-เริ่มมาตรการฟื้นฟู-การ์ดตก-ระบาดใหม่ วนไปไม่มีวันหลุดพ้น

"ประเทศไทยไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนทางเศรษฐกิจมานาน เราซื้อเวลาด้วยการทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ให้ตัวเลขออกมาดูดี สนับสนุนให้คนเป็นหนี้กู้ง่าย การบริโภคก็เลยดูดี เศรษฐกิจก็โตขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้แก้ปัญหาระยะยาว"

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย

ข้อกังวลต่อมาคือเรื่อง "หนี้" ที่หลังโควิดคลี่คลายจะเกิดการทำธุรกิจยุค New Normal ผู้ประกอบการควรปรับรูปแบบ โครงสร้างทางธุรกิจรองรับ 

และสุดท้ายคือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยผลพวงจากวิกฤตโควิด-19 จะขยายแผลให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยยิ่งรุนแรงขึ้น ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงมากจะเป็น "ตัวฉุด" การฟื้นตัวของหลายๆ ครัวเรือน ซึ่งจะซ้ำเติมให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งหนักขึ้น จนอาจก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมา 

เศรษฐา - เศรษฐพุฒิ - เศรษฐกิจ

จนถึงปี 2567 ที่ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากรัฐบาลเศรษฐาที่ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกนโยบาย "ลดดอกเบี้ย" เนื่องจากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผู้ว่าฯ ปฏิเสธและยืนยังยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยเดิม โดยเขาระบุว่า ดอกเบี้ยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การตัดสินใจทำอะไร ต้องมีการอิงกับข้อมูล ภาพรวม และต้องดูผลเกี่ยวเนื่องระยะยาว ไม่ใช่แค่ผลระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเฟ้อ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สำคัญที่สุดคือ เสถียรภาพของระบบการเงิน

การแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากที่สุดคือ มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ ธปท.ได้ทำมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยการบังคับผ่านธนาคารทุกแห่ง

ก่อนหน้านี้ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติเองก็เคยส่งหนังสือทักท้วงขอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต หลังจากที่นายกฯ ประกาศว่า มติ ครม.เห็นชอบเดินหน้าแจกเงินหมื่นให้ประชาชน 50 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2567 ที่ผ่านมา 

อ่านข่าว : 

"แบงก์ชาติ" ส่งหนังสือด่วนถึง ครม. แนะทบทวน "ดิจิทัล วอลเล็ต"

"เศรษฐา" เคาะไตรมาส 4 แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

ครม.ใหม่เศรษฐา1/1 เข้าทำเนียบวันแรก-ถ่ายภาพหมู่

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, บทสัมภาษณ์ Banking on the Future นิตยสาร Optimise 


สหรัฐฯ คงสถานะไทยในบัญชี "ต้องจับตามอง" ด้านคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

Sat, 4 May 2024 12:40:00

วันนี้ (4 พ.ค.2567) นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ประกาศสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้ารายสำคัญ ภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ (Special 301) ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา

โดยคงสถานะไทยอยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List: WL) ซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ดำเนินการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเดินหน้าชี้แจงสหรัฐฯ ถึงพัฒนาการและเร่งขับเคลื่อนการเจรจาแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อผลักดันให้ไทยหลุดจากบัญชีที่ต้องจับตามอง

จากการประกาศสถานะดังกล่าว สหรัฐฯ ตระหนักถึงพัฒนาการด้านการคุ้มครองและป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของไทย โดยเฉพาะการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย 2 ฉบับ

ได้แก่ กฎหมายลิขสิทธิ์และกฎหมายสิทธิบัตร รวมทั้งชื่นชมความพยายามของหน่วยงานไทยในการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการบูรณาการภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

รวมถึงการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าของสิทธิ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ศุลกากร การจัดทำระบบฐานข้อมูลเครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์ของกรมศุลกากร การจัดทำแผนปฏิบัติการเร่งด่วน ในการดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญา กับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงมีข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับปัญหาบางประการ เช่น ยังคงมีการลักลอบบันทึกภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ การแอบอ้างสิทธิในการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์

การละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ผ่านอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันสำหรับการสตรีมและดาวน์โหลด content โดยไม่ได้รับอนุญาต และความล่าช้าในการดำเนินคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา

นายวุฒิไกร กล่าวต่อว่า ทรัพย์สินทางปัญญา ถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในด้านการส่งเสริม การคุ้มครอง และการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ที่ผ่านมากรมฯ ได้เร่งพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศอย่างต่อเนื่องและมีพัฒนาการที่ชัดเจน

มั่นใจเมือดำเนินการแล้วเสร็จว่าสหรัฐฯ จะพิจารณาให้ไทยหลุดจากบัญชีต้องจับตา และทุกบัญชี ซึ่งกรมฯ จะเร่งผลักดันให้ไทยหลุดจากบัญชีต้องจับตาให้สำเร็จ

โดยไทยมุ่งมั่นดำเนินทุกภารกิจ เพื่อที่จะหลุดจากบัญชีต้องจับตา และทุกบัญชีให้ได้ ซึ่งเห็นได้จากการดำเนินการ เพื่อตอบสนองต่อทุกข้อกังวลของสหรัฐฯ ซึ่งหลายเรื่องได้ดำเนินการสำเร็จไปแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ Smart DIP ซึ่งอำนวยความสะดวกรวดเร็วให้กับประชาชนในการให้บริการด้านทรัพย์สินทางปัญญา มีเพียงบางเรื่องที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เช่น การแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์ เพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และการแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตร เพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีความตกลงกรุงเฮกว่าด้วยการจดทะเบียนการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระหว่างประเทศ

อ่านข่าว : ตั้ง “พิชิต” เป็นรัฐมนตรี แค่อ้าง “กฤษฎีกา”ไม่พอ

ตาวัย 90 ปี แจ้งความ ตร.ทองหาย 50 บ. หลังประสานกู้ภัยฯเข้าเก็บศพน้องสาว

รพ.นครพิงค์ พบหนอนในจมูกคนไข้นับ 100 ตัว เตือนรีบรักษา


"ราคาทองคำ" หลุด 40,000 ตลาดกังวลสงครามตะวันออกกลางลดลง

Sat, 4 May 2024 10:20:00

วันนี้ ( 4 พ.ค.2567 ) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" รายงานสถานการณ์ทองคำราคาทองคำคำเคลื่อนไหวในกรอบแคบแถวบริเวณ 2,300 ดอลลาร์ แต่ก็ถือว่าเป็นการปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2 จากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ลดลง ซึ่งการผลักดันการเจรจาระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสครั้งใหม่ที่มีอียิปต์เป็นตัวกลาง ทำให้เกิดความคาดหวังว่าข้อตกลงหยุดยิงอาจเกิดขึ้น รวมถึงการคาดการณ์ของตลาดว่าเฟดจะตรึงดอกเบี้ยนานขึ้น ซึ่งกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลงมา

โดยหากพิจารณาถึงสัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับตัวลง แต่การเปิดเผยตัวเลขการจ้างงาน Non-Farm ของสหรัฐในคืนนี้อาจสร้างความผันผวนของราคาทองคำ ให้ระวังถ้าออกมาดีกว่าตลาดคาด อาจยิ่งเป็นแรงกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงแรง

สำหรับราคาทองตลาดโลกแนวรับ 2,280 และ 2,267 ดอลลาร์ แนวต้าน 2,320 และ 2,325 ดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าราคาทองคำอาจผันผวน ทั้งนี้ถ้าราคาทองคำดีดตัวขึ้นมายังบริเวณ 2,315-2,320 ดอลลาร์ แนะนำเปิดสถานะขาย โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,325 ดอลลาร์ เนื่องจากสัญญาณทางเทคนิคโดยรวมยังเห็นทิศทางการปรับตัวลงของราคาทองคำ

ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% แนวรับ 40,000 และ 39,900 บาท แนวต้าน 40,300 และ 40,400 บาททำให้ราคาทองคำแท่งคาดมีแนวโน้มปรับตัวลงได้ต่อ ซึ่งเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วกดดันราคาทองคำแท่ง โดยเงินบาทแข็งค่าตามภูมิภาค การเข้าซื้อรอบใหม่ แนะนำ Wait & See ซึ่งมีโอกาสที่ราคาทองคำแท่งจะหลุด 40,000 บาท

สำหรับราคาทองวันนี้ ลบ50 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 40,050 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 39,950 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 40,550บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 39,234.08บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,303 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 36.73 บาทต่อดอลลาร์

โดยราคาทองรูปพรรณ(ยังไม่ร่วมค่ากำเหน็จ) มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,005 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 10,013 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 20,025 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 40,050 บาท มีค่ากำเหน็จเฉลี่ย 500 บาท

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง:

ราคาทองคำ ภาคบ่ายร่วงต่อ ลบ 50 บาท คาดยังลงต่อเนื่อง

าคาทองเช้านี้ ยังร่วงแรง 150 บาท ตลาดชี้ "พักฐานช่วงขาลง"

ราคาทองคำ ภาคบ่ายร่วงต่อ ลบ 50 บาท คาดยังลงต่อเนื่อง


บาทอ่อนดันส่งออก “หอมมะลิไทย” 3 เดือน พุ่ง 40.4%

Sat, 4 May 2024 08:45:48

วันนี้ (4 พ.ค.2567) นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ข้อมูลของกรมศุลกากรการส่งออกข้าวช่วง 3 เดือนแรกของปี (ม.ค.-มี.ค. 2567) มีปริมาณ 2,464,585 ตัน มูลค่า 56,730 ล้านบาท หรือ1,611.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยปริมาณเพิ่มขึ้น 19.4% และมูลค่าเพิ่มขึ้น 49.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566 ที่ส่งออกปริมาณ 2,063,910 ตัน มูลค่า 38,067 ล้านบาท หรือ1,125.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์   นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

สำหรับการส่งออกข้าวในเดือนมี.ค. 2567 พบว่ามีปริมาณ 716,619 ตัน มูลค่า 17,329 ล้านบาท ซึ่งปริมาณลดลง 10.4% และมูลค่าลดลง 6.5% เมื่อเทียบกับเดือนก.พ. ที่มีการส่งออกมีปริมาณ 800,225 ตัน มูลค่า 18,531 ล้านบาท

นายเจริญกล่าวอีกว่า เดือนก.พ. การส่งออกข้าวนึ่ง ข้าวหอมมะลิ และปลายข้าวมีปริมาณลดลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะข้าวนึ่ง ที่ในปีนี้ปริมาณส่งออกลดลงมากกว่า 50% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของประเทศผู้ซื้อลดลง ประกอบกับข้าวนึ่งของอินเดียยังคงมีราคาต่ำกว่าไทยมาก จึงทำให้ผู้ซื้อหันไปซื้อข้าวนึ่งจากอินเดีย

ข้าวหอมมะลิ

ข้าวหอมมะลิ

อย่างไรก็ตามในกลุ่มของข้าวขาวยังคงมีการส่งออกอย่างต่อเนื่องมีปริมาณ 479,866 ตัน ใกล้เคียงกับเดือนก่อน ตลาดหลัก เช่น อินโดนีเซีย โมซัมบิก อิรัก มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เบนิน เป็นต้น

ขณะที่การส่งออกข้าวนึ่งมีปริมาณเพียง 41,295 ตัน ลดลง 5.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ตลาดหลัก เช่น แอฟริกาใต้ เยเมน เป็นต้น ส่วนการส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) มีปริมาณ 109,448 ตัน ลดลง 4.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน มีตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สิงคโปร์ แคนาดา จีน สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เป็นต้น

อย่างไรก็ตามคาดว่าในเดือนเม.ย.ปริมาณส่งออกข้าวจะอยู่ที่ระดับประมาณ 800,000 ตัน เนื่องจากผู้ส่งออกยังคงมีสัญญาที่ต้องเร่งส่งมอบข้าวให้กับผู้ซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มของข้าวขาวซึ่งส่วนใหญ่ยังคงส่งไปยังประเทศในแถบอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น รวมทั้งตลาดหลักในภูมิภาคแอฟริกา เช่น โมซัมบิก แองโกล่า ไอวอรี่โคสต์ และตะวันออกกลาง เช่น อิรัก ประกอบกับเริ่มมีการส่งมอบข้าวให้อินโดนีเซียตามสัญญาส่งมอบแบบรัฐต่อรัฐบ้างแล้ว

ขณะที่ตลาดนำเข้าข้าวหอมมะลิที่สำคัญ ทั้งในภูมิภาคอเมริกา เช่น สหรัฐฯ แคนาดา และภูมิภาคเอเชีย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ รวมทั้งตลาดยุโรป ยังคงนำเข้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเชยอุปทานข้าวในประเทศที่ลดลง ประกอบกับในช่วงนี้ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่า จึงช่วยทำให้ราคาข้าวของไทยอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ และจูงใจให้ผู้ซื้อหันมาหาข้าวไทยมากขึ้น

สำหรับราคาข้าวขาว 5% ของไทย อยู่ที่ 599 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เวียดนามอยู่ที่ 579-583 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และปากีสถานอยู่ที่ 578-582 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่วนราคาข้าวนึ่งไทยอยู่ที่ 602 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งอินเดีย อยู่ที่ 537-541 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และปากีสถานอยู่ที่ 601-605 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน

โดย 3 เดือน อินเดียยังคงเป็นผู้ส่งออกข้าวเบอร์หนึ่ง มีปริมาณส่งออกที่ 4.30 ล้านตัน ลดลง 28.1% ขณะที่ไทยส่งออกเป็นเบอร์2 มีปริมาณ 2.46 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 19.4% รองลงมาเป็นเวียดนาม ปริมาณ 2.18 ล้านตัน และปากีสถาน มีปริมาณ 1.98 ล้านตัน

อ่านข่าวอื่นๆ:

ราคาทองคำ ภาคบ่ายร่วงต่อ ลบ 50 บาท คาดยังลงต่อเนื่อง

“ค้าภายใน” ช่วยชาวบ้านลดค่าครองชีพ ขายไข่คละแผง 95 บาท

จ่อเปิด 2 โกดัง "จำนำข้าว" ภูมิธรรม ดันขายข้าวเก่า 10 ปี ยังกินได้


“ค้าภายใน” ช่วยชาวบ้านลดค่าครองชีพ ขายไข่คละแผง 95 บาท

Fri, 3 May 2024 16:27:00

วันนี้ (3 พ.ค.2567) นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมฯ ได้เข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่แล้ว ประสานนำผลผลิตไข่ไก่คละ เบอร์เล็ก 3 , 4 และ 5 ขายผ่านโมบายธงฟ้า ประมาณ 100 จุดในกรุงเทพฯ และเปิดจุดจำหน่ายในต่างจังหวัด โดยนำร่องที่ภูเก็ตแล้ว เพื่อช่วยระบายผลผลิตไข่ไก่ให้กับเกษตรกร

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

ขณะนี้ประสบปัญหาผลผลิตไข่ไก่เบอร์ใหญ่ลดลง และไข่เบอร์เบอร์เล็กเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาลดลง เพราะเบอร์เล็ก ไม่ได้รับความนิยม จึงต้องขายราคาถูก

ไข่ไก่ที่นำมาขายในราคาต้นทุน ตกแผงละ 95 บาท จากราคาตลาดปกติเฉลี่ยเบอร์ 3 แผงละ 120 บาท ซึ่งเป็นการช่วยเกษตรกรระบายผลผลิตที่ขายไม่ออก และช่วยให้ผู้บริโภคได้กินไข่ไก่ราคาถูก

สำหรับราคาผักสด ขณะนี้ราคาเริ่มชะลอตัวลง เช่น ผักคะน้า กิโลกรัม (กก.) ละ 43.20 บาท ถั่วฝักยาว กก.ละ 63.50 บาท กะหล่ำปลีก กก.ละ 34 บาท กวางตุ้ง กก.ละ 33.30 บาท ผักบุ้งจีน กก.ละ 34.50 บาท ต้นหอม กก.ละ 93 บาท ผักชี กก.ละ 159.50 บาท พริกขี้หนูจินดา กก.ละ 79.50 บาท และมะนาว เบอร์ 1-2 ลูกละ 4.70 บาท

ราคาผักน่าจะพ้นช่วงพีคแล้ว แต่กรมจะติดตามสถานการณ์ต่อไป หากจุดไหนมีปัญหาขาดแคลน ก็จะประสานผักจากตลาดกลางเข้าไปทดแทน

อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวอีกว่า กรมได้นำผักสด 10 ชนิด เช่น ผักคะน้า ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักชี ผักบุ้งจีน แตงกวา มะระ พริกขี้หนูจินดา มะนาว

ซึ่งขายผ่านโมบายธงฟ้า และเปิดจุดจำหน่ายใน 10 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร สุโขทัย ฉะเชิงเทรา อ่างทอง นครพนม นครราชสีมา บึงกาฬ บุรีรัมย์ ภูเก็ต และนราธิวาส โดยหากมีความจำเป็น ก็จะพิจารณาเปิดจุดในจังหวัดอื่น ๆ เพิ่มเติมต่อไป

อ่านข่าว : น้ำมันขยับสูง ทำเงินเฟ้อไทยเพิ่ม 0.19% สินค้าเกษตรจ่อปรับราคา

ราคาทองเช้านี้ ยังร่วงแรง 150 บาท ตลาดชี้ "พักฐานช่วงขาลง"

จ่อเปิด 2 โกดัง "จำนำข้าว" ภูมิธรรม ดันขายข้าวเก่า 10 ปี ยังกินได้


น้ำมันขยับสูง ทำเงินเฟ้อไทยเพิ่ม 0.19% สินค้าเกษตรจ่อปรับราคา

Fri, 3 May 2024 15:05:57

วันนี้ (3 พ.ค.2567) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวถึง ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย เดือนเม.ย. 2567 เท่ากับ 108.16 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.19 % เป็นการกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

สาเหตุมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับสูงขึ้น ตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลก สินค้าเกษตรหลายรายการโดยเฉพาะผักสด และผลไม้สด ออกสู่ตลาดลดลงและราคาสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด สำหรับสินค้าและบริการอื่น ๆ ราคาเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ

ผอ.สนค.กล่าวเพิ่มเติมว่า เงินเฟ้อสูงขึ้นมาจากการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการ ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 0.28% ใน กลุ่มอาหารสด เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว ผักชี ผักคะน้า ผักกาดขาว ต้นหอม ผลไม้สด ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว

เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดและขาดแคลนน้ำในหลายพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง อาหารบริโภคในบ้าน กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารว่าง ข้าวแกง/ข้าวกล่อง ตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ขณะที่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร ปลาทู น้ำมันพืช และกระเทียม เป็นต้น

ส่วนหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.12% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊สโซฮอล์ 95 91 และ E20 น้ำมันเบนซิน 95 0kdสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น ค่าของใช้ส่วนบุคคล แป้งทาผิวกาย ยาสีฟัน กระดาษชำระ

เนื่องจากสิ้นสุดโปรโมชัน ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันดีเซล ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม เสื้อยืดบุรุษและสตรี และเสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี เป็นต้น

เงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น0.37% ทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนหน้าดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนเม.ย. 2567 เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม 2567 สูงขึ้น 0.85% ตามการสูงขึ้นของหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1.19% ปรับสูงขึ้นตามราคาผักสด

ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เฉลี่ย 4 เดือน (ม.ค. – เม.ย.) ของปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ลดลง0.55% (AoA)แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพ.ค. 2567 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น สาเหตุจาก ฐานราคาค่ากระแสไฟฟ้าเดือนพ.ค. 2566 อยู่ในระดับต่ำ ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้น ทั้งไข่ไก่ เนื้อสุกร ผัก และผลไม้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด และขาดแคลนน้ำในบางพื้นที่

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทรงตัวในระดับสูง ประกอบกับมีการปรับลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่า ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น และ ผู้ประกอบการมีแรงกดดันจากต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายค่ากระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ยังมีปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการบางชนิดยังคงอยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ เศรษฐกิจขยายตัวในระดับต่ำ และ การแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการค้าส่งและค้าปลีกขนาดใหญ่ รวมทั้งการเติบโตของการค้าอีคอมเมิร์ซ ทำให้มีการแข่งขันและใช้นโยบายส่งเสริมการค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะการปรับลดราคาอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0% ( ค่ากลาง 0.5% ) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนเม.ย. 2567 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 51.9 จากระดับ 54.1 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 17 (ตั้งแต่เดือนธ.ค. 2565) เป็นการปรับลดลง ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต

เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ แม้ว่าจะได้รับปัจจัยหนุนมาจากเทศกาลสงกรานต์ และ ความกังวลต่อภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้าในช่วงฤดูร้อน และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการศึกษาเนื่องจากใกล้เปิดภาคเรียน

ผอ.สนค.กล่าวอีกว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนมีนาคม 2567 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยลดลง 0.47% ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 5 จาก 137 เขตเศรษฐกิจ ที่ประกาศตัวเลข และอยู่ในระดับต่ำอันดับ 2 ในอาเซียนจาก 8 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (สปป.ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน)

 อ่านข่าวอื่นๆ:

ราคาทองเช้านี้ ยังร่วงแรง 150 บาท ตลาดชี้ั "พักฐานช่วงขาลง"

จ่อเปิด 2 โกดัง "จำนำข้าว" ภูมิธรรม ดันขายข้าวเก่า 10 ปี ยังกินได้

คนทำงานบ้านเฮ! ได้สิทธิลาคลอด 98 วัน มีผลบังคับใช้แล้ว